Andrew Schartmann , Myth and Misinterpretation in Beethoven’s Emperor Concerto
Puccini: Nessun Dorma
Puccini: Nessun Dorma (short version )
จริงๆเพลงนี้ น่าจะตั้งชื่อว่า “ Vincero” แปลว่า I will win มากกว่า ผมจะค่อยๆอธิบายว่าทำไม Nessun Dorma เป็นภาษาอิตาเลียน แปลตรงตัวว่า “จะไม่มีใครได้นอนหลับ” เป็นประโยคแรกของเพลงเร้าใจสุดๆเพลงนี้ แต่เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่แล้ว การที่ใครจะได้นอนหรือไม่ได้นอน ไม่ใช่ประเด็น จุดที่สำคัญที่สุด( CLIMAX) และเร้าใจมากที่สุดที่ทำให้คนดูหลายคนน้ำตาไหล คือตอนที่นักร้องเปล่งเสียงคำว่า “ Vincero” หรือ “ฉันจะชนะ
เพลงนี้ได้ถูกนำไปเป็นเพลงเอกในงานระดับโลกหลายงานเช่น ฟุตบอลโลก , EXPO 2010 ฯลฯ ล่าสุดที่คนได้ดูกันเยอะมาก และสร้างแรงบันดาลใจให้คนเป็นร้อยล้านคนทั่วโลก ก็เมื่อพนักงานขายโทรศัพท์มือถือชื่อ Paul Potts ได้ร้องเพลงนี้กินใจคนไปทั่วโลกออกทีวีและ youtube ทำให้เขากลายเป็นทำให้ความฝันในการเป็นนักร้องเป็นจริง ใครสนใจดูคลิปวีดีโอ ลองหาคำว่า Paul Potts Nessun Dorma ใน youtube
VIDEO
อ่านว่า “วินเชโร่” ภาษาอิตาเลียน
Mozart: Piano Concerto No. 24, Mvt. II
อีกเพลงหนึ่งที่มีลักษณะของการอยู่ในห้วงคิด
Vivaldi: Largo from Spring
อีกเพลงหนึ่งที่มีการ “วาดภาพ” ด้วยเสียงเพลงอย่างชัดเจน เพลงนี้ต้องการให้ผู้ฟังเห็น “บนทุ่งหญ้าที่สวยงาม มีเสียงใบไม้ที่ถูกลมพัด และมีคนเลี้ยงแพะนอนอยู่ข้างๆสุนัขที่ซื่อสัตย์ของเขา” เสียงใบไม้ถูกลมพัด = กลุ่มไวโอลิน (0:00) เบาๆ ไม่ได้เป็นทำนองที่แน่นอน เป็นแบคกราวนด์สร้างบรรยากาศ
คนเลี้ยงแพะนอนหลับ = เสียงไวโอลินเดี่ยว (0:04) เป็นทำนองที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว
เสียงสุนัขเห่าเป็นระยะๆ = วิโอลา โน้ตสองตัว (0:01, 0:05, 0:09 และทุก 4 วินาทีจนจบเพลง ถ้าสุนัขของผมเห่าเยอะขนาดนี้ สงสัยต้องมีการอบรมกันหน่อย )
Beethoven: Piano Sonata Op. 13, Mvt. II
ไพเราะจริงๆ เพลงนี้ ทำนองได้ถูกนำไปใช้ในหนังโฆษณาแม้ในเมืองไทย สังเกตว่า ทำนองที่เพราะๆอันนี้จะถูกคั่นอยู่เรื่อยๆ ด้วยทำนองอื่นที่บุคลิกแตกต่างกัน (1:11 และ 2:37) เพราะอะไร ? เป็นเทคนิคของนักแต่งเพลงที่จะทำให้ทำนองไม่ถูกใช้เล่นซ้ำไปซ้ำมาจน “เฝือ ” แต่เมื่อทำนองหลักกลับมา ( 2:02 และ 3:25) มันมีความ “หอมหวาน” เพิ่มขึ้น
Mozart: Piano Concerto No. 23, Mvt. II
ดนตรีเริ่มก็ให้ความรู้สึกเหมือนคนอยู่ในห้วงคิด รำพึง Meditate มีความโศกเศร้าปนอยู่เล็กน้อย พอเครื่องสายเข้ามา (0:48) รู้สึกเหมือนความโศกเศร้ามันทวีคูณ แน่นอน โมสาร์ตกำลังแสดงออกถึงความเศร้า มิฉะนั้นเขาคงไม่เลือก “บาสซูน” –เครื่องดนตรีลมไม้เสียงต่ำ —มาขานตอบทำนองอันแสนบาดใจอันนี้หรอก (0:52)
บาสซูน
Mozart: Sinfonia Concertante K.364, andante
เพลงนี้มีกลิ่นอายของความโศกเศร้าปนอยู่พอสมควร ทำนองมาจากออร์เคสตร้าก่อน เตรียมตัวให้ไวโอลินเดี่ยวเข้า (0:32) สังเกตว่า เสียงมันวังเวง เหมือนลอยอยู่ในอากาศสักพักหนึ่ง เพราะอะไร ? เพราะไม่มีเสียงเบส ! ผมว่ามันได้อารมณ์มากเลยเมื่อเสียงเบสกลับเข้ามา “ร่วมวง” อีกครั้งหนึ่งที่ 0:51 เหมือนการรอคอยของเรา “สมหวัง”ไปแล้วในระดับหนึ่ง
ที่กินใจผมสุดๆ คือตอนนักวิโอล่าเดี่ยว เข้ามา เล่นทำนองอัน “โหยหา” อันนี้อีกที (1:07) มันมีเสน่ห์อย่างประหลาด ได้อารมณ์มาก นักวิโอล่าที่เล่นโซโลได้ดีๆ หายากมาก ในอัลบั้มนี้ เราโชคดีที่ได้นักวิโอล่าชั้นเยี่ยม ตลอดเพลง ท่านจะได้ยิน ไวโอลินเดี่ยว กับ วิโอล่าเดี่ยว “ถามตอบ”กันไปมา บางครั้งก็เล่นพร้อมกันบ้าง บางครั้งก็ล้อเลียนกัน
โลกสดใสขึ้น เมื่อทำนองเปลี่ยนไป ทำนองใหม่ที่ 4:02 ให้ความหวังเราขึ้นมาหน่อย เป็นช่วงโปรดผมอีกที่หนึ่งในเพลงนี้
ช่วงที่กินใจผมอีกช่วงหนึ่ง คือ ทำนองเพราะๆ ที่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ( 10:23) ซึ่งโมสาร์ตได้ใช้ทำนองนี้จบบทเพลงอันยิ่งใหญ่นี้อย่างสวยงาม
โมสาร์ต
Marcello: Oboe Concerto in D major, andante
เป็นเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดของนักดนตรีชาวเวนิสผู้นี้ ถูกนำไปอัดเสียงและแสดงนับครั้งไม่ถ้วน บาคผู้ยิ่งใหญ่เห็นคุณค่าของเพลงนี้ ถึงขนาดดัดแปลง (“ขอยืม”)ไปใช้ในงานของเขา
เครื่องดนตรีเดี่ยวโอโบ มีเสียงที่ไพเราะมาก เป็นเครื่องดนตรีที่ผมชอบฟังที่สุดในสมัยเริ่มฟังดนตรีคลาสสิกตอนเป็นเด็กวัยรุ่น เพลงนี้ให้อารมณ์ “วังเวง” โดดเดี่ยวพอสมควร สังเกตเครื่องดนตรีที่เล่นเป็น backup แทบจะไม่มีเสียงเบสเลย จะเป็นเสียงสูงเป็นส่วนใหญ่
Mozart: Adagio from Serenade, K.361
เพลงนี้เป็นเพลงโปรดที่สุดในชีวิตผมเพลงหนึ่งเลยครับ ไพเราะเหลือเกิน เหมือนไม่ใช่มนุษย์เขียนเพลงนี้ ผมรู้จักเพลงนี้จากหนังเรื่อง Amadeus ตอนที่ตัวร้ายขี้อิจฉา (นักแต่งเพลงชื่อซาลิเอรี่) กำลังอธิบายเพลงนี้อย่างขมขื่น ที่ว่าขมขื่นเพราะเขาเองแต่งเพลงที่ไพเราะอย่างนี้ไม่ได้ ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกในหนังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกไม่เชื่อว่ามีดนตรีแบบนี้อยู่ในโลก รู้สึกเหมือนกับว่าถูกส่งตรงมาจากสวรรค์
ถ้าท่านใดสนใจอยากชมคลิปวีดีโอ สามารถดูได้ใน youtube โดยพิมพ์ในช่อง search ว่า “ Salieri describing the music of Mozart”
Mozart: Sonata for Two Pianos K.448, andante
จำเบอร์นี้ไว้ดีๆนะครับ — 448 — อันดับผลงานของโมสาร์ตที่มีการกล่าวขวัญถึงกันมากพอสมควร ในกลุ่มนักวิจัยดนตรีกับสมอง แพทย์ และดนตรีบำบัด
Happy Music
Mozart: Piano Concerto No. 15, Mvt. III
เพลงโปรดของผมเพลงหนึ่งเลยทีเดียว มันทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างประหลาด มีทำนองเหมือนโลกนี้สดใสไปทั้งใบ แต่ความลับก็คือ คอนดักเตอร์ (กับนักเปียโนเดี่ยว)ต้องเลือกความเร็วที่ถูกต้อง ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป นี่แหละที่ความเป็นศิลปินเข้ามามีบทบาท ถ้าเล่นเร็วไปจะฟังเหมือนดนตรีการ์ตูน คนฟังฟังไม่ทัน ฟังแล้วเครียด ถ้าเล่นช้าไปก็ไม่ได้อารมณ์แบบสดใสที่ต้องการจะสื่อให้ผู้ฟัง การเลือกความเร็วที่ถูกต้องเป็นข้อแตกต่างระหว่างศิลปินธรรมดา กับ ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ
เพลงนี้ได้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนังรางวัลออสการ์เรื่อง Amadeus ฉากที่โมสาร์ตกำลังเดินร่าเริงไปตามถนนของกรุงเวียนนา ใครยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ผมแนะนำว่า สุดยอดจริงๆ หนังเรื่องนี้ยิ่งทำให้ดนตรีของโมสาร์ตเป็นที่นิยมมากขึ้นไปทั่วโลก ทีมงานที่อัดเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้รวยไปตามๆ กัน (โมสาร์ตผู้ตายอย่างยาจก คงนึกไม่ถึงว่าผลงานของเขาจะทำเงินให้คนอื่นมากมายขนาดนี้ !)
Vivaldi: Mandolin Concerto, Mvt. I
แมนโดลิน เล่นเดี่ยว มีวงออร์เคสตร้าเล็กๆ เล่น back up ให้ เพลงนี้รู้สึกจะเคยใช้ในหนังโฆษณาสินค้าเด็กชิ้นหนึ่ง สำหรับท่านที่ไม่รู้จักหน้าตาของแมนโดลิน มันคล้ายกับกีต้าร์ตัวเล็ก ๆ รูปทรงคล้ายลูกแพร์ มีสาย 4 เส้น เวลาเล่นต้องใช้ดีดเอาเหมือนกับกีตาร์
แมนโดลิน
Mozart: Sonata for Two Pianos K.448, Allegro con spirito
มีน้อยครั้งที่นักแต่งเพลงจะเขียนเพลงให้เปียโนสองตัวเล่นด้วยกัน ต้องมีเหตุผล และเหตุผลของโมสาร์ตก็คือ เขาจะได้ให้ลูกศิษย์ของเขามีโอกาสได้แสดงกับเขา ลูกศิษย์สาวคนนั้นคือ Josephine von Aurnhammer โมสาร์ตเล่าว่าเธอ “อ้วนเหมือนสาวชาวนา แต่เล่นได้เพราะเหมือนเทพธิดา...” โมสาร์ตมักจะเก็บคีย์ของ D เมเจอร์ ไว้สำหรับเพลงที่มีความสุข ซึ่งเป็นเหตุผลให้เขาใช้คีย์นี้กับเพลงนี้ ในช่วงหลังๆนี้ เพลงนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะเหตุผลสองประการ
1.ผลงานวิจัยของ สถาบันโรคลมชักแห่งสหราชอาณาจักร( British Epilepsy Organization) พบว่าเปียโนโซนาต้าบทนี้ (K448) มี "Mozart Effect" ต่อผู้ฟัง คือมีส่วนช่วยพัฒนาสมองในส่วนการให้เหตุผล และลดจำนวนการชักของผู้ป่วยโรคลมชัก 2.หนังซีรีส์ของญี่ปุ่น ชื่อ Nodame Cantabile
Rimsky-Korsakov: Flight of the Bumblebee
เพลงที่เด็กๆชอบ มักจะปรากฎอยู่ในคอนเสิร์ตออร์เคสตร้าสำหรับเด็กเสมอ เสียงดนตรีเลียนแบบการบินและเสียงหึ่งของผึ้งตัวใหญ่ๆ โดยไวโอลิน(สลับด้วยฟลู้ท)เล่นอย่างเร็วมากไม่มีการหยุดตลอดเพลง
Handel: “And He Shall Purify” from The Messiah
ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่า วิธีการเริ่มต้นเพลงนี้มัน “เก๋”เป็นพิเศษ แปลก ไม่เหมือนใคร มีออร์แกน “ intro”ให้นิดหน่อยแล้วก็เริ่มกันเลย
แฮนเดล
เพลงโปรดเพลงหนึ่งของผม จังหวะมีมนต์ขลังอย่างประหลาด สังเกตจังหวะของเบสทำให้ดนตรีมีความกระฉับกระเฉง การเปลี่ยนสีสันจากนักร้องหญิงเป็นนักร้องชาย (0:10)ก็ให้ความหลากหลาย ส่วนตัวผมทึ่งที่ว่า คำๆเดียว สามารถร้องเป็นโน้ตสิบๆตัว เช่นคำว่า fy จาก purify (0:15)
และต่อไปนี้คือความพิเศษของดนตรีบาโร้ค มีทำนองหลายแนวเล่นไปพร้อมๆกัน ถ้าท่านได้ฟังหลายๆรอบ ลองฟังแนวอื่นๆ มันก็เพราะในแบบของมันเอง สำหรับผมชอบตามเสียงเบส นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ฟังเพลงคลาสสิกหลายๆรอบก็ไม่เบื่อ เพราะมีอะไรใหม่ๆให้ค้นพบเสมอ
Haydn: Symphony No. 90, Mvt. IV
ไฮเดิน
เจ้าของฉายา "บิดาแห่งซิมโฟนี"
ซิมโฟนีบทนี้ผมคิดว่าน้อยคนที่จะเคยได้ยิน แม้คนที่เป็นคอเพลงคลาสสิก
และถ้าเคยได้ยิน ผมหวังว่าคอนดักเตอร์ที่นำเสนอจะ "เก็ต" สิ่งเหนือตัวโน้ตที่ไฮเดินสื่อไว้ โดยไม่ได้เขียนเป็นตัวหนังสือ ไม่งั้นคนดูจะพลาดสิ่งสำคัญที่สุดของเพลงนี้เลย
นั่นคือไฮเดินตั้งใจ "หลอก" ให้คนดูตบมือครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเข้าใจผิดว่าจบเพลงแล้ว คนดูงงไปหมด ไม่รู้ว่าจบเพลงหรือยัง เพราะมีหลายที่มากที่ฟังเหมือนจบแล้ว
ผมแสดงเพลงนี้หลายครั้ง ทุกครั้งก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้เสมอ เพราะเขาไม่เคย "ถูกหลอก" แบบตั้งใจหลอกในคอนสิร์ตเพลงคลาสสิกแบบนี้มาก่อน
(เห็นหรือยังครับว่าทำไมต้องมีคอนดักเตอร์ นักดนตรีมีแค่โน้ตแนวของตนเอง จะไม่เข้าใจประเด็นที่มาจากการ "เห็นภาพรวม" แบบนี้)
Holst: Jupiter
Jupiter เป็นชื่อจอมเทพของโรมัน เป็นผู้นำความสดใสร่าเริงมาให้แก่มวลมนุษย์ ( Bringer of Jollity ) และแน่นอนว่าท่วงทำนองของเพลงนี้สดใสเบิกบานสดชื่นสมกับฉายาของเทพผู้นี้
บทเพลงนี้เป็นท่อนหนึ่งของเพลงคลาสสิกที่มีชื่อว่า “ The Planets ( ดาวเคราะห์ )” ซึ่งสำหรับดาวพฤหัส ( Jupiter ) ก็เป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ จึงถูกนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อท่อนๆหนึ่งในเพลง “ The Planets ( ดาวเคราะห์ )”
ดาวพฤหัส ( Jupiter )
ส่วนตัวผม ในเพลงนี้ผมชอบท่อนตรงกลาง ที่เป็นทำนองช้ามากที่สุด ( 3:16) เพราะมีความไพเราะกินใจ เริ่มเบาๆ และค่อยๆ build จนถึง CLIMAX (จุดสูงสุด) กลายเป็นทำนองอลังการที่ออร์เคสตร้าทั้งวงเล่น มีพลังมาก (4:35)
Tchaikovsky: Polonaise from Eugene Onegin
ไชคอฟสกี้
ไชคอฟสกี้ = นักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซีย มีชื่อเสียงด้านการเขียนทำนองที่ไพเราะกินใจ
โพโลเนซ = เพลงเต้นรำแบบโปแลนด์
Eugene Onegin = อุปรากรที่ดังที่สุดของไชคอฟสกี้
ทราบแค่นี้ก็พอแล้วครับ Enjoy the beautiful music เล่นโดยวงออร์เคสตร้าชั้นเยี่ยม
Beethoven: Symphony No. 7, Mvt. I
ซิมโฟนีเลขคี่ของเบโธเฟ่น ( 3, 5, 7, 9) รู้กันในหมู่นักฟังเพลง นักดนตรีและนักวิชาการว่า มีพลังและ “ซีเรียส” ซึ่งต่างจากซิมโฟนีเลขคู่ ซึ่งมีเนื้อหาเบาหน่อย (เช่น หก --เกี่ยวกับธรรมชาติ , สึ่ --มีอารมณ์ขัน , แปด —สดใส โดยเฉพาะท่อนสองล้อเลียนเพื่อนของเบโธเฟ่นเอง)
แค่วินาทีแรกของเพลง เราก็รู้แล้วว่าเบโธเฟ่น “เอาจริง” เต็มไปด้วยความสง่าและท่าทีประกาศศักดา
ผมจำได้ว่า คอนดักท์เพลงนี้ออกแสดงคอนเสิร์ตต่อสาธารณชนครั้งแรกในกรุงเวียนนา ตอนปี พ.ศ. 2536 อายุประมาณ 23 ปี ตอนนั้นรู้สึกถึงภาระที่“หนักหน่วง”ที่ต้องคุมเพลงที่ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้ ไม่บ่อยนักที่คนอายุน้อยได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ให้รับผิดชอบคอนดักท์ซิมโฟนียาวเกือบชั่วโมงขนาดนี้ ผมต้องยอมรับว่ามันอาจเกินความสามารถของผมตอนนั้นไปหน่อย แต่ก็เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี
สิบปีต่อมา คอนดักท์เพลงนี้อีกรอบหนึ่ง คราวนี้แสดง 20 กว่าครั้งทั่วอิตาลี รู้จักเพลงนี้ดีขึ้นอีกเยอะ
ซีรีส์ญี่ปุ่น Nodame Cantabile
เกร็ดอีกนิด ทำนองหลักของเพลงนี้ (เริ่มที่ 3:52) ได้ถูกทำให้ฮิตติดหูเด็กวัยรุ่นทั่วเอเชีย เพราะกลายเป็นเพลง Theme ของซีรีส์ญี่ปุ่น Nodame Cantabile ที่ช่วยทำให้เพลงคลาสสิกเป็นที่รักของคนรุ่นใหม่ในเอเชีย
Handel: Royal Fireworks Overture
เป็นดนตรีคลาสสิกกลางแจ้งที่ฮิตมาก Fireworks แปลว่า ดอกไม้ไฟ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบหมายให้แฮนเดลแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อบรรเลงในวันเฉลิมฉลองการสิ้นสุดสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย ( The Austrian Succession War) และนักดนตรีจะได้บรรเลงในอาคารที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการแสดงนี้ แต่ทว่าแผนการแสดงกลับล้มเหลว เนื่องจากอาคารแสดงได้ติดไฟและลุกไหม้ในระหว่างการแสดง อย่างไรก็ตามบทเพลง Royal Firework ของแฮนเดลนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากในการแสดงรอบ "ซ้อมใหญ่" ที่ Vauxhall Gardens นั้น มีผู้เข้าชมการแสดงถึงกว่า 12,000 คน จนทำให้การจราจรบริเวณนั้นติดขัดไปถึง 3ชั่วโมง
แฮนเดล
ผมคอนดักท์เพลงนี้ครั้งแรกปี คศ. 2000 เมื่อตอนมีตำแหน่งเป็น Associate Conductor กับ Utah Symphony ในอเมริกา ชอบเพลงนี้อยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า ขนลุกและยิ่งชอบขึ้นไปอีกตอนกำลังแสดงอยู่ เมื่อได้ฟังเสียงนักดนตรีชั้นยอดของวง Utah Symphony ขณะกำลังเล่นคอนเสิร์ตในหอเพลงชั้นเยี่ยมในเมืองนั้น เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลย
Prokofiev: Dance of the Knights from Romeo and Juliet
โปรโครเฟียร์
อีกเพลงหนึ่งที่ดังจากซีรีส์ญี่ปุ่น Nodame Cantabile ความจริงไม่ค่อยเข้ากับทีม “อารมณ์ดี”เท่าไรนัก ผมว่าเพลงนี้ให้อารมณ์เอนเอียงไปทางความ “มันส์” อย่างไรก็ตาม เพลงนี้ต้องวงออร์เคสตร้าชั้นเยี่ยมถึงจะเล่นออกมาได้เพราะ สังเกตแถวๆ 0:51-0:54 ที่ไวโอลินเล่นเสียงสูงมากๆ ถ้ากลุ่มนักไวโอลินทั้ง เกือบ 20 คนเล่นไม่ดีแค่คนเดียว เสียงจะเพี้ยนบาดหู สำหรับวงที่เล่นในแผ่น “อารมณ์ดี”นี้ เป็นวงชั้นเยี่ยมของยุโรป และเล่นเพลงนี้มาเป็นร้อยรอบ คุ้นมือกันดี
อย่าลืม “ดื่มด่ำ” กับเสียงอีกบุคลิกหนึ่ง(ห้าวหาญ)ของกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง (BRASS) ที่ 0:42
Sibelius: Karelia Suite Op. 11, Mvt. III
ซีเบเลียส
เพลงโปรดผมอีกเพลงหนึ่งตั้งแต่สมัยเด็ก ทำนองปลุกใจให้ฮึกเหิมดี คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก อาจเป็นเพราะชื่อของซีเบเลียสยังไม่แพร่หลายนัก ตัวผมเองมีความผูกพันกับนักแต่งเพลงท่านนี้เป็นพิเศษ ดนตรีของเขาเข้าถึงหัวใจของผมอย่างประหลาด มันมีความลึกซึ้งของอารมณ์ ตอนผมแข่งที่อเมริกา คอนดักเตอร์ทุกคนที่เข้ารอบสุดท้ายต้องคอนดักท์เพลงของซีเบเลียส เพราะท่านลอริน มาแซลปรมาจารย์คอนดักเตอร์ถือว่า เป็นดนตรีที่ลึกซึ้งที่จะวัดคอนดักเตอร์ได้ดี ต้องเป็นคอนดักเตอร์ที่ mature หรือผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ถึงจะเข้าใจเพลงของซีเบเลียสได้และสามารถตีความหมายแบบ “ผู้ใหญ่” ให้ผู้ฟังเข้าถึงและตรงความต้องการของผู้แต่งเพลงได้
ตอนหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ คือตอนที่มีฉาบ ( Cymbal) กับ กิ๋ง (Triangle) ให้จังหวะ (3:02)
ลองสังเกตรายละเอียดเล็กน้อย เป็นเทคนิคการแต่งเพลงที่ทำให้ดนตรีมีสีสันมากขึ้น คือการที่ทำนองหลัก “ไล่ล้อกันเอง” ระหว่างกลุ่มไวโอลิน ( 3:17) กับกลุ่มวิโอล่า /เชลโล่ ( 3:19) เทคนิคนี้เรียกว่า Canon (เพลง CANON ของ พาเคลเบล ก็ใช้เทคนิคนี้แทบทั้งเพลง)
บันทึกเสียงที่อยู่ในแผ่น “อารมณ์ดี”นี้ผมแสดงสด ( LIVE) ในอเมริกา
Mozart: Piano Concerto No. 17, Mvt. III
ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่า ผลงาน Piano Concerto แทบทั้งหมดของโมสาร์ตให้ความรู้สึก “สบายใจ” ดีเป็นพิเศษ ในบ้านผมกับแมรี่ภรรยา จะเปิดเป็นแบคกราวนด์เสมอ ให้บรรยากาศสดใสได้ดี โมสาร์ตแต่ง Piano Concerto ทั้งหมด 21 เบอร์ แต่ละเบอร์มี 3 ท่อน ปกติแล้วท่อนแรกของแต่ละเบอร์จะมีทำนองติดหูคนที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า พอกลายเป็นวัยกลางคนแบบผม ได้ค้นพบ “เพชร” ในท่อนสุดท้ายของ Piano Concerto เบอร์ 15 กับ 17 ที่อยู่ในแผ่น “อารมณ์ดี” นี้
จากความ “สดใส อารมณ์ดี สบายๆ ไปเรื่อยๆ” บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนตอน 5:34 เมื่อโมสาร์ตมี “แผนใหม่” ดนตรีเร็วขึ้น กำลังค่อยๆ build จากเบาไปดัง เพื่อให้จบเพลงน่าตื่นเต้นและน่าประทับใจ